เปรียบเทียบระบบ Two-Factor Authentication ระหว่าง การใช้ One Time Password (OTP) และ Smart Card ร่วมกับ Public Key Infrastructure (PKI)
by A.Pinya Hom-anek, GCFW, CISSP, CISA
ACIS Professional Team
ปัญหาการ Authentication ในปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใช้งานระบบผ่าน LAN หรือ การเข้าใช้งานระบบผ่าน Remote Access ก็คือ เรามักใช้ Username และ Password ในการ Log In หรือ Log On เข้าสู่ระบบ ซึ่ง Hacker สามารถดักจับข้อมูลเราได้โดยง่าย อีกทั้งเรายังไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นผู้ใช้ระบบของเราจริงหรือไม่ เพราะ ถ้ามีใครทราบ Username และ Password ก็สามารถเข้าสู่ระบบได้เหมือนกัน จะเห็นได้ว่าเราไม่สามารถระบุตัวตนของผู้ใช้ระบบได้แน่นอน ตลอดจนมีความเสี่ยงกับการโดนเจาะระบบโดยโปรแกรมจำพวก Packet Sniffer อีกด้วย
การนำระบบ Two-Factor Authentication มาใช้จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ เนื่องจากผู้ใช้ระบบในองค์กรไม่ว่าจะเป็น พนักงานระดับปฏิบัติการจนถึงผู้บริหารระดับสูง จะต้องมีอุปกรณ์เพิ่มเติมซึ่งอาจอยู่ในรูปของ Hardware Token หรือ Smart Card เพื่อที่จะใช้ตรวจสอบตัวตนเมื่อต้องการเข้าสู่ระบบ และ สามารถแก้ปัญหาการแอบดักข้อมูลจากโปรแกรม Packet Sniffer ตลอดจนสามารถระบุตัวตนผู้ใช้ที่เป็นเจ้าของ Hardware Token หรือ Smart Card ได้ดีกว่าแบบที่ใช้แค่เพียง Username และ Password
ลักษณะการใช้งาน, ข้อดี- ข้อด้อย และ คำแนะนำ ว่าควรเลือกใช้ระบบ Smart Card และ PKI หรือ Two-Factor Hardware Token มีรายละเอียดดังนี้
ลักษณะการใช้งานระบบ One Time Password เช่น ระบบของ RSA
- เป็นระบบ One Time Password (OTP) ซึ่งต้องใช้ RSA/SecurID Client Hardware Token ที่มี Battery ทำการ Generate Code เป็นตัวเลขทุกๆ 60 วินาที เพื่อที่จะ “Sync” กับ RSA ACE/Server ในการตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้
- ต้องมีการเตรียมจัดซื้อ RSA ACE/Server, RSA SecurID Token Hareware และ RADIUS Server เพื่อเตรียมรับ Two-Factor Authentication
ข้อดีของการใช้ระบบ One Time Password
- ใช้เพื่อทำ User Authentication แบบ Two-Factor Authentication
- ป้องกันการดักจับข้อมูลจากโปรแกรมจำพวก Packet Sniffer เนื่องจาก Password (PIN+token generate) ใช้ครั้งเดียว การดักด้วย Packet Sniffer จึงไม่มีผล
- เหมาะสำหรับการตรวจสอบการเข้าระบบที่พร้อมใช้งานกับ RSA ACE/Server
- เป็นระบบ One Time Password (OTP)
- ไม่ต้องมี CA และ PKI มาเกี่ยวข้องก็ทำงานได้
- ไม่ต้องมี USB Token และไม่ต้องใช้ Smart Card (ในกรณีที่ไม่ต้องการใช้ Smart Card และ PKI)
ข้อด้อยของการใช้ระบบ One Time Password
- ต้องลงทุนกับ RSA ACE/Server และ RSA SecurID Token Hardware ทุก Client
- ปัญหาเรื่อง Battery ของตัว Hardware Token
- ไม่สามารถทำงานแบบ Multi-Factor ได้
- ไม่สามารถทำงานแบบ Multi-Application ได้
- ไม่สามารถทำงานกับ Digital Certificate หรือ Private Key ของระบบ PKI ได้
- มีข้อจำกัดกับการใช้งาน Multi-Application ในแบบ SSO (Single Sign On)
- ROI ไม่คุ้มเท่ากับการใช้ Smart Card และ PKI ในระยะยาว (ต้องทำ Cost/ Benefit Analysis)
- ไม่ใช่ระบบที่ต่อกับ USB
- ไม่ใช่ระบบที่นำ Smart Card มาใช้
- ไม่รองรับกฎหมายธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในข้อ Authentication และ Non-repudiation
ลักษณะการใช้งานระบบ Smart Card และระบบ PKI
- เป็นระบบที่เปิดกว้างในการนำมาใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ
- เป็นระบบ Two Factor, Three Factor หรือ Multi-Factor Authentication
- มีการใช้งานร่วมกับระบบ PKI
- เป็นการใช้งานแบบ SSO (Single Sign On)
ข้อดีของการใช้งานของ Smart Card
- ให้ ROI ที่คุ้มค่าในระยะยาว
- ทำงานได้หลายแบบ และ เป็นได้มากกว่า Two Factor Authentication
- ทำงานร่วมกับระบบ Biometric ได้
- สามารถเก็บ Private Key เพื่อไว้ทำ Electronic Transaction, Digitally sign by using Digital Signature และ ประยุกต์ใช้กับ Application ได้หลากหลาย
- รองรับกฎหมายธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในข้อ Authentication และ Non-repudiation เพราะมีการระบุตัวตนโดยใช้ Digital Signature/ Digital Certificate
- เป็น SSO (Single Sign On) สมบูรณ์แบบ
- มีความสามารถเรื่อง Mobility เหมาะกับ Remote Access ทำให้ผู้ใช้ไม่ขึ้นกับสถานที่หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวใดตัวหนึ่ง
- ถ้าเป็นแบบ Smart Card using USB Token จะประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องตัวอ่านได้มาก
- สามารถใช้หลาย Application ต่อหนึ่ง Smart Card ได้
- ทำ Personalization ได้
- ป้องกัน Hacker อย่างได้ผล
- ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน โดยเฉพาะเรื่องการจัดการกับ Password
- สะดวกสบายกับผู้ใช้ และไม่ต้องพะวงเรื่องปัญหา Battery
- รองรับการขยายงานในอนาคต
- รองรับ JAVA (Smart Card ที่ออกแบบมาใช้กับ JAVA)
- สามารถใช้กับระบบได้หลายระบบอาทิ
- ระบบ Employee ID Badge
- ระบบการเข้าอาคาร (Building Access)
- ระบบ PC/ Network Log on
- ระบบ Remote Network Access Log on
- ระบบ Digital Signature และ Secure E-mail
- ระบบ Secure Storage
- ระบบ Web Site Authentication
- ระบบ Debit Transactions
- ระบบ PKI Related
- ระบบ Biometric
ข้อด้อยของการใช้งาน Smart Card
- ต้องลงทุนซื้อ Smart Card และเครื่องอ่าน Smart Card ถ้าเป็นแบบ USB Token Smart Card ไม่ต้องซื้อเครื่องอ่านแต่ต้องซื้อ USB token
- ควรทำงานร่วมกับระบบ PKI ซึ่งจะต้องมี CA ถ้าไม่มี CA เอง ต้องจ่ายค่าใบรับรอง Digital Certificate ทุกปี
- ผู้ใช้ต้องมีความเข้าใจในการทำงานระดับหนึ่ง
- ต้องเตรียม Infrastructure สำหรับระบบ PKI ในกรณีที่ต้องการเป็น CA เอง
- ต้องมีระบบ Card Management ที่ดี
คำแนะนำในการลงทุนกับ Two-factor Authentication
- ก่อนอื่นต้องทำ Cost Benefit Analysis ออกมาก่อนว่าจะใช้ระบบ One Time Password หรือใช้ระบบ Smart Card และ PKI
- ควรทำจากระบบเล็กๆ หรือ Pilot Project ก่อนแล้วค่อยขยายผล
- ควรพิจารณาเรื่องการลงทุนในระยะยาว เรื่องของ PKI/CA ซึ่งจะเห็นว่าระบบ Smart Card ที่เป็น USB Token น่าจะคุ้มค่าที่สุด
- การใช้ USB Token Smart Card เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมในปัจจุบัน และ มีความคุ้มค่าในอนาคตมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราใช้งานเพียงแค่การ Log on เข้าสู่ระบบบางระบบเท่านั้น การใช้งาน RSA SecurID Token ก็น่าจะเพียงพอ
- หากเราต้องการระบบ SSO (Single Sign On) และการทำงานในลักษณะ Multi-factor Authentication การนำระบบ Smart Card และ PKI มาใช้จะเป็นทางออกที่ดีกว่าในระยะยาว
จาก : หนังสือ eWeek Thailand
ปักษ์หลัง เดือนพฤษภาคม 2547
Update Information : 25 พฤษภาคม 2547