1. แรงจูงใจทางการเงิน: การโจมตีด้วย Ransomware เป็นการโจมตีที่มีเหตุผลทางการเงินเป็นจุดประสงค์หลัก การที่มีแรงจูงใจทางการเงินจะส่งผลให้ผู้ไม่หวังดียังคงตั้งใจที่จะพัฒนาเทคนิค และกลยุทธ์ใหม่เพื่อทำการโจมตีนี้ต่อไป..

2. ความหลากหลายของเป้าหมาย: การโจมตีด้วย Ransomware มักไม่ได้เจาะจงกลุ่มเป้าหมายใดเป้าหมายถึง ดังนั้นไม่ว่าจะองค์กรขนาดใหญ่ หรือธุรกิจขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานของรัฐ หรือสถานพยาบาล ล้วนเคยตกเป็นเหยื่อการโจมตีทั้งสิ้น ในเมื่อยังคงมีเป้าหมายที่หลากหลายแบบนี้ จะยิ่งสร้างโอกาสให้ผู้ไม่หวังดียังกระทำการโจมตีในรูปแบบนี้ต่อไป..

3. การโจมตีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง : จะเห็นได้ว่าการโจมตีด้วย Ransomware ในปีหลังๆมานี้ มีการเรียนรู้และปรับปรุงพัฒนารูปแบบการโจมตีอยู่ตลอดเวลา ผู้ไม่หวังดีกำลังกลายมาเป็นผู้ที่มีความชำนาญในวิธีการของพวกเขา และเชื่อว่าในอนาคต ผู้โจมตีเหล่านี้อาจมีเป้าหมายใหม่ๆ รวมถึงมีการเลือกใช้เทคนิคโซเชียลเอนจิเนียริ่งในการเข้าถึงระบบที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.

4. ลักลอบการชำระเงินด้วยคริปโต: ผู้โจมตีมักเรียกค่าไถ่ด้วยการให้ผู้เป็นเหยื่อชำระเงินในการเรียกคืนข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสด้วยเงินคริปโตเคอร์เรนซี เพราะไม่สามารถระบุตัวตนในการทำธุรกรรมได้ ทำให้การติดตามและจับกุมผู้ไม่หวังดีเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องยาก..

5. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี : ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การรักษาความปลอดภัยของระบบไอทีกลายเป็นภาระที่ต้องเรียนรู้ และพัฒนาอยู่เสมอ ถ้าหากพลาดพลั้ง ก็อาจถูกโจมตีด้วย Ransomware ได้ตลอดเวลา ดังนั้น Ransomware จึงเป็นภัยคุกคามที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง และใช้การป้องกันอย่างเป็นระบบเพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายได้..

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้คาดการณ์ว่า Ransomware ยังคงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญในปี 2024 จึงควรรักษาการป้องกันอย่างเข้มงวด และเตรียมความพร้อมรับมือกับอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตีด้วย Ransomware ไม่ว่าจะเป็นการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เข้ารหัสข้อมูลที่สำคัญ และพัฒนาแผนการตอบสนองที่แข็งแกร่ง เพื่อลดความเสี่ยง และผลกระทบของการโจมตีเหล่านี้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต.